วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

พลังแห่งความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุข ตอนที่ 2


          แอดมินขอนำเสนอต่อนะคะ ลองมาดูว่า ตัวตนที่แท้จริงของเบรกในจิตใจคืออะไร
ผู้เขียนได้กล่าวถึง “ตัวตนที่แท้จริงของเบรกในจิตใจ คือ ความคิดและความเชื่อฝังใจ (Belief)
          ไม่ทราบว่า ตอนนี้คุณมีทุกข์หรือว่ามีปัญหาคาใจอยู่บ้างไหม?  แล้วคุณทราบไหมว่า สาเหตุที่แท้จริง ของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร??
          ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างไว้ค่ะ   เช่น
สมมติว่า คุณ S ทำงานเป็นพนักงานบริษัท เขากำลังทุกข์ใจเรื่องความสัมพันธ์กับหัวหน้างานอยู่จนไม่อยากไปทำงาน เขาพูดว่า หากมีหัวหน้าแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่อยากทำงาน
          นั่นคือ เขากำลังบอกว่า สาเหตุของความทุกข์ใจของเขาคือ “หัวหน้าของเขาเอง แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ
          คนที่ทำงานในบริษัทเดียวกันและมีหัวหน้าคนเดียวกันกับคุณ S ไม่ได้เป็นทุกข์เช่นเดียวกับที่คุณ S เป็นทุกคน เมื่อเทียบกับคุณ S แล้ว มีทั้งคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าและคนที่ทำงานได้อย่างมีความสุข โดยไม่สนใจว่าหัวหน้าจะเป็นอย่างไร
          หมายความว่า สาเหตุที่แท้จริงของความกังวลใจของคุณ S ไม่ได้อยู่ที่ หัวหน้า แต่อยู่ ภายในตัวของคุณ S” นั่นเอง
          หรือ สมมติว่า จู่ ๆ เพื่อนสนิทก็มาโมโหใส่ หากเป็นคุณ คุณจะตกอยู่ในสภาวะเช่นไร แต่ละคนก็มึความคิดแตกต่างกันออกไป
คนหนึ่งอาจจะคิดมากว่า “ทำให้เพื่อนโกรธซะแล้ว
คนหนึ่งอาจโมโหว่า “เพื่อนมาหาเรื่องเราก่อน ให้อภัยไม่ได้
อีกคนอาจจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก
แต่อีกคนอาจเป็นห่วงเพื่อนว่า “เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ ชอบใช้คำพูด แรงๆ กับคนอื่น แต่หากแก้นิสัยนั้นได้ เขาก็จะมีเพื่อนอีกเยอะเลยนะ
แม้จะเจอเหตุการณ์เดียวกัน แต่ผลที่เกิดขึ้นทั้งความรู้สึกและการกระทำของแต่ละคนแตกต่างกันไป นั่นคือ สภาวะ (อารมณ์ความรู้สึก) ของคนเราจะเป็นเช่นไร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีการยอมรับและวิธีคิดของแต่ละคน ที่มีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสถานการณ์เหล่านั้นต่างหาก
พูดได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงของความเจ็บปวด ความโกรธ และความทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่อีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อื่น) หรือจากสถานการณ์ แต่อยู่ที่วิธีการยอมรับและวิธีความคิดของตัวเราเอง  และวิธีการยอมรับและวิธีคิดของตัวเราก็คือ Belief 
แค่นี้ก่อนนะคะ ครั้งหน้ามาต่อค่ะ :))

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

พลังแห่งความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุข ตอนที่ 1

   

                มีคนให้หนังสือแอดมินมา  “EQ Note”  โยชิโนริ โนงุจิ เขียน // แปลโดย ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ//  วันนี้ขอนำความรู้ในหนังสือมาฝากกันค่ะ 
ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า หากความสำเร็จหมายถึง  "การก้าวไปยังจุดหมาย” คงมีความสำเร็จมากมายหลายประเภทในโลกใบนี้ ทั้งความสำเร็จที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ความสำเร็จที่ได้มาพร้อมความหวาดหวั่น ความสำเร็จอันโดดเดี่ยว ความสำเร็จที่ต้องแลกด้วยความสุขของครอบครัว ความสำเร็จอย่างไม่มีเวลาหยุดพัก ความสำเร็จอย่างไม่มีเวลาผ่อนคลาย  แต่ “พลังความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุข” หมายถึง  ความสามารถที่จะก้าวไปสู่จุดหมายอย่างต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ หรือ “ความสามารถที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จบนพื้นฐานแห่งความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญอื่นใด” 
                พลังแห่งความสำเ ร็จที่มาพร้อมกับความสุขนี้มีองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่
  1. ทักษะ EQ
  2. พลังที่จะก้าวไปสู่จุดหมาย

จากประสบการณ์และจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกของผู้เขียน ได้กล่าวว่า การพัฒนาทักษะ EQ และเพิ่มพลังที่จะก้าวไปสู่จุดหมายไปพร้อมๆ กันนั้น ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีแบบพลิกผันแก่คนหลายๆ คน

EQ ย่อมาจาก Emotional Quotient หมายถึง “เชาวน์อารมณ์” สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ “ความสามารถในการเข้าใจและยอมรับตนเอง”  และ  “ความสามารถในการยอมรับผู้อื่น”
        EQ เป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลและ เป็นกุญแจสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ด้านความรัก ชีวิตคู่ การเลี้ยงดูบุตร รวมทั้งความสำเร็จในด้านธุรกิจด้วย
        เป็นเรื่องยากที่จะอุดช่องว่างระหว่าง “ตัวตนที่อยากเป็น” และ “ตัวตนที่เป็นอยู่”  จิตใต้สำนึกของคนเราถูกตั้งโปรแกรมให้เป็นไปตามรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้ว  ซ้ำเล่ามาตั้งแต่อดีตจนติดเป็นนิสัย โปรแกรมของจิตใต้สำนึกนี้เองที่ทำหน้าที่เป็นเบรกคอยขัดขวางเราอยู่ เหมือนกับเรากำลังขับรถโดยเหยียบคันเร่งและเบรกในเวลาเดียวกัน ความตั้งใจของเราจึงสูญเสียเปล่าและไม่ก้าวข้างหน้าสักที  ถ้าหากคนเราสามารถควบคุม บริหารจัดการโปรแกรมของจิตใต้สำนึกนี้ได้ และสามารถตัดเบรกในจิตใจของเราทิ้งไปได้ พลังแห่งความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุขก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
       ครั้งหน้าแอดมินจะมานำเสนอต่อนะคะ :))

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข (ไทยรัฐ)


ท่าน ว.วชิรเมธี พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการเทศน์ในทุกหัวข้อ จนได้ฉายาว่าพระผู้รอบรู้ เพราะแทบไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ ท่าน ว.ตอบให้กับสังคมไม่ได้ ที่สำคัญทุก ๆ คำตอบของท่านตอบด้วยธรรมะที่คติธรรมโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด...!!!

ศิลปะการทำงานให้มีความสุข

หัวข้อทำงานอย่างไรให้มีความสุขเป็นหัวข้อของอาตมา ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

1. ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเราเพราะว่าเราทำด้วยความรัก

2. ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน

3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด

4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์

ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารักจะมีความสุขหรือเปล่า

ตอบได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็นถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำมีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

  วิธีการมองเห็นทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

คุณสมบัติที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขนั้น มี 2 อย่าง

1. สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำอยู่ให้เจอ เช่น งานของพระอาจารย์เป็นงานที่ต้องเดินทางบ่อยมากไปเทศน์ไปสอนตลอด หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก ๆ ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่ามันเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คน ได้พบภูมิประเทศใหม่ ๆ ได้สานสัมพันธ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียวมองแค่ว่าเรากำลังเหนื่อยหนักจริง ๆ เหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริง ๆ แล้วมันมีมากกว่า ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ

2. สังเกตแล้วต้องสังกาให้ตั้งคำถาม ว่าเราจะสร้างสรรค์งานที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม... ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งไป กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะว่า เขาชอบตั้งคำถามว่าทำไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทำงาน

ทำงานที่ชอบแต่เงินเดือนน้อยมองอย่างไรให้เป็นสุข

ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจำเป็น ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สวย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือจำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน บริโภคต่างตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญญาถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร...

วิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง

ให้ถือซะว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เวลาที่เราทำงานต้องมีอยู่แล้วคนแกล้งคนไม่พอใจคนอิจฉาตาร้อนให้เราถือหลักว่า

1. มารไม่มีบารมีไม่เกิด

2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกำไรเสมอ

3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา

4. ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้ทำงานอยู่เสมอ จึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่า

กว่าจะผ่านปัญหาไปได้ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร

จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้นทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผาเราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต

 

กรณีสำหรับคนที่ตกงานมีวิธีคิดอย่างไรไม่ให้เครียด

1. ต้องหางานทำ

2. หาแล้วไม่ได้ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่างให้ใจตก เพราะถ้าใจตกชีวิตจะตกต่ำทันที ดังนั้นไม่ต้องเสียใจ คนที่ รวยที่สุดในโลกตอนนี้ สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเขาตกงานแล้วไม่ตกใจจึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้นเราตกงานได้แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่ในเนื้อในตัวเราลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่ ทำอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ โอกาสยังคงมีเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง ต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้ถือหลักพึ่งตนเองอย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติการพึ่งตนเองสำคัญที่สุดเลย

ถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดหรือเปล่า

เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มา พินิจ พิจารณาหาช่องทางทำกิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยาคือทำให้เราเคลิ้มๆแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง พูดอีกอย่าง "หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา การใช้ปัญญาเป็นยากิน" การรักษาโลกต้องใช้ยากิน การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มี... ประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย ปรากฎว่ามีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงาน นี้คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นให้หันมาพึ่ง ลำแข้ง ลำขา สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด

น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร...?

ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทำ มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่

ถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนักจะทำอย่างไร

ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทำงาน การทำงานต้องประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤิทธิ์ของมือทำงานระดับอาชีพ การทำงานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทำงานมืออาชีพ ฉะนั้นอย่างเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต จะต้องรักษาสมดุลของงานสมดุลชีวิตให้ลงตัวพอเหมาะพอดี

เราจะคำนวณสัดส่วนสมดุลย์ในการทำงานคืออะไร

ใช้ทางสายกลางในการทำงานและการดำรงชีวิต 50-50 คืองานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50 บ้างานมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี บ้าใช้ชีวิตมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้ ฉะนั้นต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลย์กัน 50-50 นี่คือทางสายกลางสำหรับคนทำงาน

  ประสบการณ์ของพระอาจารย์มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า

มีลูกศิษย์ที่ทำงานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000 แต่ทำงานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน ผลคือเป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พบอยู่สาเหตุเดียวคือแบกความเครียดนานเกินไปเงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนำมารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด ฉะนั้นสาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียดนี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างาน ทำงานมากเกินไปสุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข

อยากให้พระอาจารย์แนะนำวิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน

ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่าเรากำลังเดินผิดทางมันกำลังสุดโต่ง ฉะนั้นเวลาทำงาน อย่ามัวแต่ทำงานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกำลังป่วย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล นี่เป็น "โรคอารยธรรม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่นป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วย ดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม

ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่า งานจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่...?

งานจำเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็ศูนย์เปล่า

ความหมายของ"งาน"ในแบบของพระอาจารย์คืออะไร...?

งานของเราก็คือการทำให้เขามีความสุข ทุกวันอาตมามีความสุขมากเพราะเป็นงานที่ไม่ได้ทำร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอนไปบรรยายก็เหมือนเป็นการเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก ฉะนั้นทุก ๆ วันที่เดินทางออกจากวัดอาตมามีความสุขมาก ทำงานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก ทำไปไม่หวังผลประโยชน์ หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำให้คนอื่นมีความสุข เรียกว่าให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว ฉะนั้นชีวิตการทำงานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข เพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก และปรัชญาในการทำงานของอาตมาก็คือ งานของเราคือการทำให้เขามีความสุข

แล้วงานที่ดีที่สุดคืออะไร...?

งานที่จะทำให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจและมีชีวิตที่มีความรื่มเย็นในจิตใจ คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึ่งสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้ ย้ำอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ มีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ในทางใจก็เป็นสุข


สุดท้ายให้ศีลให้พรในวันปีใหม่เกี่ยวกับการทำงาน

ในโอกาสปีใหม่ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย

1. พลังปัญญาของให้คนไทยลดความรู้สึกลงกลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น

2. พลังความเพียรขอให้คนไทยพึ่งตนเองลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

3. พลังความสุจริตขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบแล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส

4. พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น มาถือหลักธรรมใหม่ ๆ ว่า ส่วนไหน ๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้ำเงิน ให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข เพื่อความสวัสดีของคนไทยให้เป็นพรปีใหม่ของเราชาวไทยทุก ๆ คน...

บทความจาก : ไทยรัฐ

http://www.cmemployment.org/newtopic/pohots.asp?Po_noticeidpk=57

 

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี2555


         ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานแถลงข่าว การจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี ๒๕๕๕ (NECTEC Annual Conference & Exhibitions 2012) ภายใต้แนวคิด ร่วมสร้างงานวิจัยพัฒนา เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเศรษฐกิจสังคมไทย Co-creation in R&D for healthy and wealthy Thailandซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก เขตหัวขวาง กรุงเทพฯ โดยมีการนำเสนอผลงานทางวิชาการ การวิจัย พัฒนาทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในสาขาต่างๆ และการสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ

       ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค กล่าวถึงแนวคิดในการจัดงานว่า “Co-creation” เป็นแนวคิดใหม่ที่เปิดโอกาสให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้มีส่วนร่วม ตลอดห่วงโซ่คุณค่าของการผลิตและบริโภค เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมในแง่มุมต่างๆ รวมถึงนวัตกรรมของสินค้าและบริการที่ทำให้ผู้มีส่วนร่วมเหล่านี้ได้รับประโยชน์หรือคุณค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันแนวคิดนี้มีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากองค์กรต่างๆ รวมทั้งผู้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เริ่มเห็นคุณค่าของกระบวน Co-creation ซึ่งมีความเหนือกว่ากระบวนการทางการตลาดที่เน้นผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะ Co-creation เน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และยังเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือมีส่วนร่วมในการพัฒนาให้เกิดสินค้าหรือบริการที่ตรงใจ หรือตอบโจทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาเนคเทคก็ได้นำแนวคิด Co-creation มาใช้ในการสร้างงานวิจัย พัฒนาเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้มีส่วนร่วมมากขึ้น และยังสร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและสังคมที่สูงขึ้นด้วย

         การประชุมวิชาการประจำปีนี้ จึงมีการนำเสนอนิทรรศการผลงานวิจัยภายใต้แนวคิด Co-creation อาทิ ระบบแจ้งเตือนแผนที่ฉุกเฉินส่วนตัว ระบบเตือนภัยน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ข้อมูลสารสนเทศปุ๋ยเพื่อเกษตรกร โปรแกรมบันทึกข้อมูลสุขภาพครอบครัวแบบพกพา และแอพพลิเคชั่นเพื่อสังคม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานประกอบด้วย การประชุมวิชาการและการเสวนา อาทิ นวัตกรรมบริการฐานรากใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย , การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายโดยใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน , แนวทางความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย , ร่วมคิด ร่วมสร้างนวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ ,ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับอุตสาหกรรมไทย, เซ็นเซอร์เพื่อการเกษตร เป็นต้น

            การจัดแสดงนิทรรศการ Co-Creation Zone ที่เกิดจากแนวคิดการร่วมสร้างสรรค์ในงานวิจัยและพัฒนา อาทิ ระบบแจ้งเตือนแผนที่ฉุกเฉินส่วนตัว หรือ Situational Awareness Service ช่วยแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินที่มีผู้แจ้งผ่านทางสถานีวิทยุ และจะแจ้งเตือนมายังผ่านอีเมล์และโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานในกรณีที่เกิดเหตุร้ายในบริเวณที่ผู้ใช้งานสนใจ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือ หรือให้ข้อมูลโดยส่งเป็นรูปภาพได้อีกด้วย หรือจะเป็นผลงานร่วมสร้างสรรค์ในด้านสุขภาพ อนามัย อาทิ โปรแกรมบันทึกข้อมูลสุขภาพครอบครัวแบบพกพา ระบบส่งเสริมการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ข้อเข่าขาเทียม เป็นต้น ในส่วนของอาหาร การเกษตร และสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยสั่งตัด หรือระบบการเตือนภัยดินถล่ม ที่เนคเทค ร่วมพัฒนากับหน่วยงาน/องค์กรที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านเพื่อมุ่งสู่ผลประโยชน์ที่ประชาชนของประเทศจะได้รับ และมุ่งหวังให้เกิดการร่วมสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

         Technology Highlight Zone แบ่งเป็น ๓ ส่วนจัดแสดง ได้แก่ เทคโนโลยีบริการคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์โดยผ่านทางระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ต หรือ คลาวด์คอมพิวติ้ง เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่นำไปใช้อย่างแพร่หลายทั้งด้านเกษตร อุตสาหกรรม การแพทย์ รวมถึงอุปกรณ์เตือนภัยภิบัติทางธรรมชาติ สร้างผลตอบแทนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และผลตอบแทนทางสังคม ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติอันประเมินค่าไม่ได้ และเทคโนโลยีเพื่อพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทั้งพลังงานไฟฟ้าในบ้านเรือน หรือยานยนต์ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมประสิทธิภาพด้านพลังงานทดแทน ที่สะอาดและได้ฟรีจากธรรมชาติ
Cluster & Alliance Zone เป็นโซนที่แสดงถึงความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคการศึกษา ในด้านการนำผลงานวิจัยไปสู่การต่อยอดและขยายผลที่เกิดขึ้นแล้วอย่างเป็นรูปธรรม
Business Zone เป็นโซนมุ่งส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ เชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรมและโลกแห่งเทคโนโลยีที่เกิดจากการร่วมสร้างงานวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเศรษฐกิจ สังคมไทย โดยหน่วยปฏิบัติการของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

        ทั้งหมดนี้ คาดว่าจะทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับทราบและเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้าง พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนา ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้ภาครัฐและธุรกิจเอกชนนำผลงานวิจัยไปพัฒนาและต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป

          สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี ๒๕๕๕ สามารถลงทะเบียนและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.nectec.or.th. งานนี้เข้าชมงานและร่วมงานสัมมนาได้ฟรี
โดย NECTEC Thailand



วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลมหาวิทยาลัย : ภารกิจที่ถ่วงดุลอำนาจการบริหาร

http://www.thairath.co.th/content/edu/288194

ผลการประเมินคุณภาพภายใน คณะวิชาและมหาวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2553 และ 2554

AEC คืออะไร

      นอกจากนี้ ท่านอธิการบดี ยังกล่าว ถึง AEC....แล้ว AEC คืออะไร???
เราต้องปรับกลยุทธ์รับ AEC อย่างไรบ้าง?? ..ขอนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ AEC...ซึ่งเว็บไซต์นี้รวบรวมองค์ความรู้ AEC ไว้ค่ะ

http://www.thai-aec.com/

กิจกรรม 5 ส


    จากการประชุม "การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของสำนักงานอธิการบดีแบบครบวงจร" เมื่อวันที่ 1-3 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา ท่านอธิการบดีได้ฝากเรื่องการดูแล/จัดสรรพื้นที่อย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยเริ่มจากการดูแลจัดสรรพื้นที่ภายในหน่วยงานของเราก่อน...และแอดมินขอนำความรู้เกี่ยวกับกิจกรรม 5 ส มาฝาก...ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใช้ได้ตลอดกาล... มาทำความรู้จักกับกิจกรรม 5 ส กันค่ะ
องค์ความรู้ 5 ส

มาเข้าใจ SWOT ก่อนทำ SWOT

http://www.km.nida.ac.th/home/index.php?option=com_content&view=article&id=200:-swot-swot&catid=51:km-around-the-world&Itemid=93