วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เตรียมพร้อมด้านภาษา ตอบโจทย์รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทัน
ปี2558 จะมีการเปิดประชาคมอาเซียน (Asean Community : AC) เวลานี้ประเทศสมาชิกทั้ง 10 ชาติ ย่อมต้องมีการเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนของตนเองเพื่อรองรับการเปิดเสรี อาเซียนกันแล้ว แน่นอนว่าเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าด้านการเมือง และเศรษฐกิจ โดยจะพบว่าขณะนี้แม้จะยังไม่ถึงวันที่ประตูจะเปิดกว้างให้การเคลื่อนย้ายแรง งานได้อย่างเสรีเต็มที่ แต่เราก็เห็นแล้วว่ามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านไหลเข้ามาทำงานในบ้านเรา เป็นจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยทำให้การสื่อสารเป็นไปด้วยความ เข้าใจที่ถูกต้องนั้นก็คือภาษา และหากสังเกตจะพบว่าแรงงานต่างชาติเหล่านั้นจะพูดภาษาไทยได้เข้าใจภาษาไทย ขณะที่คนไทยเราเองกลับไม่ตระหนักเท่าที่ควรเปรียบเหมือนการที่เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
การร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนานวัตกรรมแบบล่างสู่บน (Bottom-up)
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในองค์กรส่วนมากเกิดจากระดับของผู้ปฏิบัติ
งานมากกว่า เกิดขึ้นในระดับผู้บริหาร เป็นข้อสังเกตจากการศึกษาประวัติความเป็นมาของนวัตกรรมต่างๆ
ทั้งประเภทนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยี (Technological
Innovation) และนวัตกรรมเชิงความคิด (Ideological
Innovation) ยิ่งองค์กรมีระดับชั้นการบริหารงานและการบังคับบัญชามากเท่าไรยิ่งเป็น
อุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
แนวความคิดนี้ได้ รับการทดลองที่ศูนย์วิจัย PARC (Palo Alto Research Center) อยู่ในบริเวณพื้นที่ของ Stanford University มลรัฐ California เป็นรัฐชายฝั่งตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศสหรัฐอเมริกา ศูนย์วิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท Zerox ที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องถ่ายเอกสาร และที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้ได้นำระบบการบริหารจัดการที่ระดับการบังคับบัญชา น้อยมาใช้จึงได้พัฒนานวัตกรรมที่กลายมาเป็นเทคโนโลยีในปัจจุบันเช่น PC หรือ Personal Computer, GUI หรือ Graphic User Interface หรือที่เรียกว่า Icon รวมทั้ง Object-Oriented Programming และ Ubiquitous Computing ซึ่งเป็นนวัตกรรมประเภท Technological Innovation เป็นต้น
การร่วม มือแบบล่างสู่บน (Bottom-up) มีความหมายในเชิงของการเป็นรูปแบบของความร่วมมือแบบไม่มีระดับชั้นหรือ Non-Hierarchical Model ซึ่งเกิดขึ้นจากระดับของผู้ปฏิบัติงานก่อนการร่วมมือเกิดขึ้นจากกลุ่มคน เล็กๆ ผู้ที่มีความคิดร่วมกันมีความต้องการสอดคล้องกันแล้วลงมือกระทำ ส่วนมากจะเป็นกิจกรรมที่ระดับผู้บริหารระดับสูงยังไม่ทราบหรือยังไม่ให้ความ สนใจในระยะแรก เช่น ในการพัฒนา Laptop ของบริษัทโตชิบา หรือ การพัฒนา Macintosh Computer ของบริษัท Apple ซึ่งต้องทำการพัฒนาแบบลับๆ ซึ่งเรียกการทำงานแบบนี้ว่า Skunk Works Project รวมทั้งโครงการ Mississippi Summer Project หรือเรียกว่า Freedom Summer ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1964 ทำให้เกิดนวัตกรรมเชิงเทคนิควิธีในการเรียกร้องเสรีภาพ ต่อต้าน ประท้วงการกดขี่และการปลุกระดมมวลชนและการจัดการมวลชนเพื่อต่อสู้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมประเภท Ideological Innovation และได้รับการเผยแพร่ไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
แนวความคิดนี้ได้ รับการทดลองที่ศูนย์วิจัย PARC (Palo Alto Research Center) อยู่ในบริเวณพื้นที่ของ Stanford University มลรัฐ California เป็นรัฐชายฝั่งตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศสหรัฐอเมริกา ศูนย์วิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัท Zerox ที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องถ่ายเอกสาร และที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้ได้นำระบบการบริหารจัดการที่ระดับการบังคับบัญชา น้อยมาใช้จึงได้พัฒนานวัตกรรมที่กลายมาเป็นเทคโนโลยีในปัจจุบันเช่น PC หรือ Personal Computer, GUI หรือ Graphic User Interface หรือที่เรียกว่า Icon รวมทั้ง Object-Oriented Programming และ Ubiquitous Computing ซึ่งเป็นนวัตกรรมประเภท Technological Innovation เป็นต้น
การร่วม มือแบบล่างสู่บน (Bottom-up) มีความหมายในเชิงของการเป็นรูปแบบของความร่วมมือแบบไม่มีระดับชั้นหรือ Non-Hierarchical Model ซึ่งเกิดขึ้นจากระดับของผู้ปฏิบัติงานก่อนการร่วมมือเกิดขึ้นจากกลุ่มคน เล็กๆ ผู้ที่มีความคิดร่วมกันมีความต้องการสอดคล้องกันแล้วลงมือกระทำ ส่วนมากจะเป็นกิจกรรมที่ระดับผู้บริหารระดับสูงยังไม่ทราบหรือยังไม่ให้ความ สนใจในระยะแรก เช่น ในการพัฒนา Laptop ของบริษัทโตชิบา หรือ การพัฒนา Macintosh Computer ของบริษัท Apple ซึ่งต้องทำการพัฒนาแบบลับๆ ซึ่งเรียกการทำงานแบบนี้ว่า Skunk Works Project รวมทั้งโครงการ Mississippi Summer Project หรือเรียกว่า Freedom Summer ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1964 ทำให้เกิดนวัตกรรมเชิงเทคนิควิธีในการเรียกร้องเสรีภาพ ต่อต้าน ประท้วงการกดขี่และการปลุกระดมมวลชนและการจัดการมวลชนเพื่อต่อสู้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมประเภท Ideological Innovation และได้รับการเผยแพร่ไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
คณะผู้วิพากษ์หลักสูตรมี อาจารย์
วิชริณี สวัสดี เป็นผู้ประสานงาน
จาก แนวคิดของการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวนำมาสู่แนวทางการร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสถาบันการศึกษาขึ้น ถึงแม้จะไม่ถึงขนาดต้องทำงานในแบบลับ ๆ หรือ Skunk Works แต่ความร่วมมือเกิดขึ้นจากระดับคณาจารย์ผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารระดับคณะ วิชา หรือที่เรียกว่ากว่าแบบ Bottom-up Approach ที่ตรงข้ามกับแบบ Top-down Approach ซึ่งความร่วมมือเกิดจากนโยบายและความเห็นชอบของผู้บริหารระดับสูงทำให้เกิด ความร่วมมือในรูปแบบที่เป็นทางการมีระดับชั้นและใช้กลไกการบริหารสั่งการ บังคับบัญชาให้เป็นไปตามนโยบายของผู้บริหาร
ตัวอย่างของความร่วมมือ ทางวิชาการเพื่อพัฒนานวัตกรรมแบบล่างสู่บนหรือ Bottom-up Approach ได้เกิดขึ้นเป็นปีที่ 2 ระหว่างคณาจารย์ ผู้บริหาร และนักศึกษาระดับปริญญาเอกของภาควิชาครุศาสตร์เทคโนโลยี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้ร่วมมือกับคณาจารย์และผู้บริหารของคณะเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจันทบุรี ซึ่งมีกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตร วิพากษ์หลักสูตร และจัดการบรรยายทางวิชาการฝึกอบรมความรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้กับ นักศึกษาของคณะเทคโนโลยีสังคมโดยนักศึกษาระดับปริญญาเอกของภาควิชาครุศาสตร์ เทคโนโลยีด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการสอนที่คิดค้นขึ้นและนำไปทดลอง ใช้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบของ Bottom-up Approach
ผศ.ดร.สุกัลยา ปริญโญกุล
รองคณบดีคณะเทคโนโลยีสังคมกล่าวต้อนรับ
นวัต กรรมทางการสอนรวมทั้งเทคนิควิธีการต่าง
ๆ ที่นักศึกษาระดับปริญญาเอกได้ออกแบบหรือได้คิดขึ้นได้ถูกนำไปใช้กับนักศึกษา ระดับปริญญาตรี
ซึ่งเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันการได้ทดลองนำเทคนิควิธีที่นักศึกษาปริญญาเอก
ได้ออกแบบและคิดขึ้นไปทดลองใช้จะทำให้เกิดความมั่นใจในนวัตกรรมการสอน และเทคนิควิธีการที่นำมาใช้ในสถานการณ์จริง
นอกจากนั้นความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการด้านอื่นๆ ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากกิจกรรมเหล่านี้เช่น
การทำวิจัย การผลิตตำราเรียน และผลงานวิชาการ เป็นต้น
ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการร่วมมือทางวิชาการแบบ
Bottom-up Approach นอกจากจะสามารถยืนยันผลการศึกษาวิจัยทางด้านการเผยแพร่นวัตกรรมและการเกิด
ขึ้นของนวัตกรรมในองค์กรระดับปฏิบัติการแล้วยังทำให้เกิดประโยชน์กับ กระบวนการจัดการเรียนการสอนดังนี้
1. ได้ใช้ “เสรีภาพทางวิชาการ” นักศึกษาระดับปริญญาเอกหลักสูตร Ph.D.Technical Education Technology ที่เข้าร่วมในกิจกรรมส่วนมากเป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา เมื่อจบการศึกษาแล้วจะกลับไปทำงานในสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัย นักศึกษาปริญญาเอกเหล่านั้นได้มีโอกาสทำความเข้าใจ ตระหนักและใช้เสรีภาพทางวิชาการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คุ้มครองไว้ในมาตรา 50
2. ได้สร้างเครือข่ายทางวิชาการเกิดขึ้นโดยเฉพาะเครือข่ายในลักษณะที่เป็น Interpersonal Networks การได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดเครือข่ายในหลายระดับซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่นวัตกรรมต่อ ไป
3. ได้มีการเผยแพร่นวัตกรรมทั้งนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัต กรรมการเรียนการสอนที่ได้นำมาใช้ ช่วยลดช่องว่างของโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงเทคโนโลยี
1. ได้ใช้ “เสรีภาพทางวิชาการ” นักศึกษาระดับปริญญาเอกหลักสูตร Ph.D.Technical Education Technology ที่เข้าร่วมในกิจกรรมส่วนมากเป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา เมื่อจบการศึกษาแล้วจะกลับไปทำงานในสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัย นักศึกษาปริญญาเอกเหล่านั้นได้มีโอกาสทำความเข้าใจ ตระหนักและใช้เสรีภาพทางวิชาการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คุ้มครองไว้ในมาตรา 50
2. ได้สร้างเครือข่ายทางวิชาการเกิดขึ้นโดยเฉพาะเครือข่ายในลักษณะที่เป็น Interpersonal Networks การได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดเครือข่ายในหลายระดับซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่นวัตกรรมต่อ ไป
3. ได้มีการเผยแพร่นวัตกรรมทั้งนวัตกรรมที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัต กรรมการเรียนการสอนที่ได้นำมาใช้ ช่วยลดช่องว่างของโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงเทคโนโลยี
ผศ. เอกชัย ปริญโญกุล
คณะบดีคณะเทคโนโลยีสังคม กล่าวถึงความร่วมมือ
จาก ประโยชน์ที่เกิดขึ้นมีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับรูปแบบและวิธีการ
ความร่วมมือแบบ Bottom-up ซึ่งอาจไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือแบบสั่งการ
หรือแบบ Top-down ที่มีกระบวนการบังคับบัญชาหลายชั้น หรือเป็นรูปแบบที่เป็น
Hierarchical Model
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์
วัฒนาณรงค์
ที่มา http://www.thairath.co.th/edu
การยอมรับ (Adoption) นำมาเป็น “ชุดความเชื่อ” ในสังคมไทย
การยอมรับ หรือ
การรับเอามาใช้เป็นของตน (Adoption) เป็นกระบวนการอีกด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับกระบวนการเผยแพร่
(Diffusion) นวัตกรรม หรือ สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ สำหรับประเทศไทยแล้วเนื่องจากสังคมไทยมีระบบสังคม
(Social System) ที่มีความเฉพาะ ดังนั้น การใช้ทฤษฎีการเผยแพร่และการยอมรับนวัตกรรมที่มีการพัฒนามาจากการ
ศึกษาวิจัยในสังคมอื่น ๆ อาจไม่สามารถนำมาใช้อธิบายกระบวนการยอมรับในสังคมไทยได้
การตัดสินใจ ยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากผู้อื่นหรือจากที่อื่นที่อาจเป็นวัตถุ สิ่งของ วิธีคิด การกระทำ วิธีการทำงาน การใช้ชีวิต การแต่งกายค่านิยม และความเชื่อที่เป็นสิ่งใหม่หรือรู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับตนเองและมี อิทธิพลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเองในลักษณะที่เป็นการรับ เอามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองถือได้ว่าเป็นการยอมรับทั้งทางตรงและโดยปริยาย และอาจแสดงออกมาให้ปรากฏหรือฝังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดและพร้อมสำหรับการ แสดงออกเมื่อมีโอกาส
กระบวนการยอมรับและนำมาเป็น “ชุดความเชื่อ” ของตนเองเป็นประเด็นที่มีอิทธิพลต่อสังคมเศรษฐกิจและการเมือง มาโดยตลอดโดยมีกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
ขั้นที่หนึ่ง เป็นขั้นตอนของการได้รับความรู้และข่าวสาร ในขั้นนี้สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากสื่อสารมวลชนอย่างมาก และสื่อมวลชนมีอิทธิพลสูงกว่ากลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มเครือข่ายของตน (Interpersonal Networks) เพราะความรู้และข่าวสารจากสื่อมวลชนสามารถเผยแพร่เข้าถึงประชาชนไทยในแต่ละ รายบุคคลได้อย่างทรงประสิทธิภาพการมีสื่อจำนวนมากในหลาย ๆ รูปแบบทำให้คนไทยส่วนมากไม่ตกข่าวถึงจะอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากก็ไม่เป็น อุปสรรคสำหรับการรับรู้ข่าวสาร
ขั้นที่สอง เป็น ขั้นสร้างความเชื่อถือในข่าวสารมูลเหตุจูงใจให้เชื่อถือในสังคมไทยไม่ได้ เกิดจากการมีความ รู้ หรือการมีข้อมูลข่าวสารมากแต่เกิดจากการอ้างอิงชุดความเชื่อของตนกับเพื่อน ในกลุ่ม ดังนั้นสื่อมวลชนมีอิทธิพลกับความเชื่อของสังคมไทยน้อยกว่ากลุ่มเพื่อนหรือ กลุ่มเครือข่ายของตนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนเป็นการเปิดโอกาส ให้กลุ่มสร้างชุดความเชื่อแล้วเผยแพร่ชุดความเชื่อภายในกลุ่มผ่านสื่อสมัย ใหม่และผ่านการสื่อสารแบบปากต่อปากในเครือข่ายของตน
ขั้นที่สาม เป็น ขั้นการตัดสินใจ อิทธิพลที่มีต่อการตัดสินใจยอมรับในแต่ละบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์กับชุดความ เชื่ออ้างอิง (Relative Believing Set) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มความเชื่อของตนเอง ในขั้นนี้สื่อมวลชนมีอิทธิพลน้อยกว่ากลุ่มเพื่อน ความเห็นของกลุ่มเพื่อนและเครือข่ายของตน (Interpersonal Networks) มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจยอมรับสูงที่สุด ถึงแม้จะมีข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งกับความเชื่ออยู่มากก็ตาม
ขั้นที่สี่ เป็น ขั้นแสดงออกถึงความเชื่อและการยอมรับในขั้นนี้สังคมไทยมีความพิเศษเนื่องจาก การแสดงออกนั้นมีความสัมพันธ์กับอิทธิพลอื่น ๆ นอกจากความเชื่อและความรู้ที่ตนเองมีอยู่ การได้รับผลประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องมีอิทธิพลต่อการ แสดงออกอย่างมาก ความเกรงใจ หรือ ต้องการรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ทำให้การแสดงออกอาจตรงข้ามกับความเชื่อและการตัดสินใจรับความเชื่อนั้นได้ ดังนั้น ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และความเชื่อจึงไม่เป็นสิ่งที่จะใช้ทำนายพฤติกรรมที่ของคนในสังคมไทยได้
ขั้นที่ห้า เป็นขั้นของการยืนยันการตัดสินใจยอมรับในขั้นนี้เป็นผลของการได้รับความรู้ ข่าวสาร การได้รับการจูงใจให้เกิดความเชื่อและมีชุดความเชื่อนำไปสู่การตัดสินใจ ยอมรับ และแสดงออกมา เมื่อถึงขั้นการยืนยันการตัดสินใจ ในขั้นนี้คนในสังคมไทยหันกลับไปใช้เหตุผล ความรู้ ความคิดของตนเองมากขึ้น อิทธิพลของสื่อมวลชนเริ่มปรากฏให้เห็นอีกครั้ง แต่ยังเป็นรองจากการอ้างอิงชุดความเชื่อของตนกับผู้อื่น ในขั้นนี้คนไทยเริ่มเปิดรับแนวทางการยอมรับจากสังคมอื่น มีการอ้างอิงชุดความเชื่อจากสังคมอื่นที่พัฒนาผ่านช่วงของเวลาที่ประสบอยู่ ไปแล้ว ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการเริ่มมีอิทธิพลกับการยืนยันการตัดสินใจ ยอมรับมากขึ้นมากขึ้น
ดังนั้น การทำให้เกิดความรู้และมีข้อมูลข่าวสาร มีความสำคัญลำดับแรกในการยอมรับ และการอ้างอิงความรู้และชุดความเชื่อจากสังคมอื่นมีอิทธิพลในขั้นการยืนยัน การยอมรับในขั้นสุดท้าย เพราะการเผยแพร่เพื่อให้เกิดการยอมรับและกลายเป็นชุดความเชื่อนั้นสามารถ เปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนานั้น เป็นการนำความรู้ความคิด มาสู่การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัตินั้นต้องมีการยืนยันและรับรองอย่างเป็นรูปธรรม การตราพระราชบัญญัติ เป็นการนำความคิด ความรู้มาสู่การปฏิบัติที่มีผลในการบังคับใช้
มีตัวอย่างที่เรียนรู้ ได้จากสังคมอื่นได้แก่ เมื่อครั้งประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1776 และมีรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดสำหรับการปกครองเมื่อปี ค.ศ. 1787 และการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 ซึ่งได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเช่นกันเป็นเหตุการณ์สำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18
การร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของทั้งสองประเทศนั้น เป็นการนำความรู้ ความคิด ปรัชญา หลักการ และทฤษฎี ทางด้านการเมือง การปกครองและอุดมการณ์ในการมีชีวิตที่ดีของสังคมมนุษย์ ซึ่งแต่เดิม อยู่ในรูปของคำสอน ตำราเรียน บทเรียน หรือประเด็นที่เป็นหัวข้อสำหรับการถกเถียงในหมู่นักวิชาการชั้นสูง รวมทั้งเรื่องเล่า ตำนานต่าง ๆ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ โดยการนำสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมากลั่นกรอง รวบรวมใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดและมีอำนาจบังคับใช้เช่น ปรัชญาของการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย ปรัชญาสัญญาประชาคม ปรัชญาการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ปรัชญาการให้ความดูแลผู้อ่อนแอในสังคมด้วยรูปแบบรัฐสวัสดิการ เป็นต้น
สิ่ง เหล่านี้เมื่อครั้งก่อนมีรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นเพียงความรู้ ความคิด ความเชื่อ หรือปรัชญาที่ใช้สำหรับศึกษาเล่าเรียนเป็นสำคัญ แต่เมื่อมีรัฐธรรมนูญจึงได้นำความรู้ ความคิด ความเชื่อ และปรัชญาเหล่านั้นมาบรรจุไว้ทำให้เกิดการปฏิบัติและมีผลบังคับใช้ได้
จะ เห็นได้ว่าสาระต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสซึ่งได้ประกาศออกใช้พร้อม ๆ กับประกาศสิทธิมนุษย์และพลเมืองฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ด้วยนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ในสังคมตะวันตกมีการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อนำมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ และได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างมากในช่วงเวลาประมาณ 200 ปี ต่อมานับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น 2,000 ปี ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการเท่ากับ 200 ปีที่ได้เริ่มมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้
สรุป
การ ยอมรับ เพื่อนำมาเป็นชุดความเชื่อในสังคมไทยหลาย ๆ เรื่องกำลังดำเนินมาสู่ขั้นสุดท้ายคือ การยืนยันการตัดสินใจยอมรับ จึงเป็นหน้าที่ของสื่อสารมวลชนอีกครั้ง ประกอบกับนักวิชาการที่ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และนำเสนอกระบวนการตัดสินใจที่ประสบผลสำเร็จและการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ สังคมอื่น เพื่อให้สังคมไทยได้เลือกตัดสินใจยืนยันการยอมรับในสิ่งที่ดีที่สุดและ ประเสริฐสุดเท่านั้น
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
การตัดสินใจ ยอมรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากผู้อื่นหรือจากที่อื่นที่อาจเป็นวัตถุ สิ่งของ วิธีคิด การกระทำ วิธีการทำงาน การใช้ชีวิต การแต่งกายค่านิยม และความเชื่อที่เป็นสิ่งใหม่หรือรู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับตนเองและมี อิทธิพลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเองในลักษณะที่เป็นการรับ เอามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองถือได้ว่าเป็นการยอมรับทั้งทางตรงและโดยปริยาย และอาจแสดงออกมาให้ปรากฏหรือฝังอยู่ในความรู้สึกนึกคิดและพร้อมสำหรับการ แสดงออกเมื่อมีโอกาส
กระบวนการยอมรับและนำมาเป็น “ชุดความเชื่อ” ของตนเองเป็นประเด็นที่มีอิทธิพลต่อสังคมเศรษฐกิจและการเมือง มาโดยตลอดโดยมีกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
ขั้นที่หนึ่ง เป็นขั้นตอนของการได้รับความรู้และข่าวสาร ในขั้นนี้สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากสื่อสารมวลชนอย่างมาก และสื่อมวลชนมีอิทธิพลสูงกว่ากลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มเครือข่ายของตน (Interpersonal Networks) เพราะความรู้และข่าวสารจากสื่อมวลชนสามารถเผยแพร่เข้าถึงประชาชนไทยในแต่ละ รายบุคคลได้อย่างทรงประสิทธิภาพการมีสื่อจำนวนมากในหลาย ๆ รูปแบบทำให้คนไทยส่วนมากไม่ตกข่าวถึงจะอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากก็ไม่เป็น อุปสรรคสำหรับการรับรู้ข่าวสาร
ขั้นที่สอง เป็น ขั้นสร้างความเชื่อถือในข่าวสารมูลเหตุจูงใจให้เชื่อถือในสังคมไทยไม่ได้ เกิดจากการมีความ รู้ หรือการมีข้อมูลข่าวสารมากแต่เกิดจากการอ้างอิงชุดความเชื่อของตนกับเพื่อน ในกลุ่ม ดังนั้นสื่อมวลชนมีอิทธิพลกับความเชื่อของสังคมไทยน้อยกว่ากลุ่มเพื่อนหรือ กลุ่มเครือข่ายของตนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนเป็นการเปิดโอกาส ให้กลุ่มสร้างชุดความเชื่อแล้วเผยแพร่ชุดความเชื่อภายในกลุ่มผ่านสื่อสมัย ใหม่และผ่านการสื่อสารแบบปากต่อปากในเครือข่ายของตน
ขั้นที่สาม เป็น ขั้นการตัดสินใจ อิทธิพลที่มีต่อการตัดสินใจยอมรับในแต่ละบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์กับชุดความ เชื่ออ้างอิง (Relative Believing Set) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มความเชื่อของตนเอง ในขั้นนี้สื่อมวลชนมีอิทธิพลน้อยกว่ากลุ่มเพื่อน ความเห็นของกลุ่มเพื่อนและเครือข่ายของตน (Interpersonal Networks) มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจยอมรับสูงที่สุด ถึงแม้จะมีข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งกับความเชื่ออยู่มากก็ตาม
ขั้นที่สี่ เป็น ขั้นแสดงออกถึงความเชื่อและการยอมรับในขั้นนี้สังคมไทยมีความพิเศษเนื่องจาก การแสดงออกนั้นมีความสัมพันธ์กับอิทธิพลอื่น ๆ นอกจากความเชื่อและความรู้ที่ตนเองมีอยู่ การได้รับผลประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่นที่เกี่ยวข้องมีอิทธิพลต่อการ แสดงออกอย่างมาก ความเกรงใจ หรือ ต้องการรักษาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ทำให้การแสดงออกอาจตรงข้ามกับความเชื่อและการตัดสินใจรับความเชื่อนั้นได้ ดังนั้น ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และความเชื่อจึงไม่เป็นสิ่งที่จะใช้ทำนายพฤติกรรมที่ของคนในสังคมไทยได้
ขั้นที่ห้า เป็นขั้นของการยืนยันการตัดสินใจยอมรับในขั้นนี้เป็นผลของการได้รับความรู้ ข่าวสาร การได้รับการจูงใจให้เกิดความเชื่อและมีชุดความเชื่อนำไปสู่การตัดสินใจ ยอมรับ และแสดงออกมา เมื่อถึงขั้นการยืนยันการตัดสินใจ ในขั้นนี้คนในสังคมไทยหันกลับไปใช้เหตุผล ความรู้ ความคิดของตนเองมากขึ้น อิทธิพลของสื่อมวลชนเริ่มปรากฏให้เห็นอีกครั้ง แต่ยังเป็นรองจากการอ้างอิงชุดความเชื่อของตนกับผู้อื่น ในขั้นนี้คนไทยเริ่มเปิดรับแนวทางการยอมรับจากสังคมอื่น มีการอ้างอิงชุดความเชื่อจากสังคมอื่นที่พัฒนาผ่านช่วงของเวลาที่ประสบอยู่ ไปแล้ว ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการเริ่มมีอิทธิพลกับการยืนยันการตัดสินใจ ยอมรับมากขึ้นมากขึ้น
ดังนั้น การทำให้เกิดความรู้และมีข้อมูลข่าวสาร มีความสำคัญลำดับแรกในการยอมรับ และการอ้างอิงความรู้และชุดความเชื่อจากสังคมอื่นมีอิทธิพลในขั้นการยืนยัน การยอมรับในขั้นสุดท้าย เพราะการเผยแพร่เพื่อให้เกิดการยอมรับและกลายเป็นชุดความเชื่อนั้นสามารถ เปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการปกครอง การเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนานั้น เป็นการนำความรู้ความคิด มาสู่การปฏิบัติ และผลของการปฏิบัตินั้นต้องมีการยืนยันและรับรองอย่างเป็นรูปธรรม การตราพระราชบัญญัติ เป็นการนำความคิด ความรู้มาสู่การปฏิบัติที่มีผลในการบังคับใช้
มีตัวอย่างที่เรียนรู้ ได้จากสังคมอื่นได้แก่ เมื่อครั้งประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1776 และมีรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดสำหรับการปกครองเมื่อปี ค.ศ. 1787 และการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 ซึ่งได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเช่นกันเป็นเหตุการณ์สำคัญในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18
การร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของทั้งสองประเทศนั้น เป็นการนำความรู้ ความคิด ปรัชญา หลักการ และทฤษฎี ทางด้านการเมือง การปกครองและอุดมการณ์ในการมีชีวิตที่ดีของสังคมมนุษย์ ซึ่งแต่เดิม อยู่ในรูปของคำสอน ตำราเรียน บทเรียน หรือประเด็นที่เป็นหัวข้อสำหรับการถกเถียงในหมู่นักวิชาการชั้นสูง รวมทั้งเรื่องเล่า ตำนานต่าง ๆ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ โดยการนำสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมากลั่นกรอง รวบรวมใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดและมีอำนาจบังคับใช้เช่น ปรัชญาของการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย ปรัชญาสัญญาประชาคม ปรัชญาการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ปรัชญาการให้ความดูแลผู้อ่อนแอในสังคมด้วยรูปแบบรัฐสวัสดิการ เป็นต้น
สิ่ง เหล่านี้เมื่อครั้งก่อนมีรัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นเพียงความรู้ ความคิด ความเชื่อ หรือปรัชญาที่ใช้สำหรับศึกษาเล่าเรียนเป็นสำคัญ แต่เมื่อมีรัฐธรรมนูญจึงได้นำความรู้ ความคิด ความเชื่อ และปรัชญาเหล่านั้นมาบรรจุไว้ทำให้เกิดการปฏิบัติและมีผลบังคับใช้ได้
จะ เห็นได้ว่าสาระต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา และรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสซึ่งได้ประกาศออกใช้พร้อม ๆ กับประกาศสิทธิมนุษย์และพลเมืองฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ด้วยนั้น ทำให้ประเทศต่างๆ ในสังคมตะวันตกมีการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อนำมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ และได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างมากในช่วงเวลาประมาณ 200 ปี ต่อมานับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น 2,000 ปี ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการเท่ากับ 200 ปีที่ได้เริ่มมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้
สรุป
การ ยอมรับ เพื่อนำมาเป็นชุดความเชื่อในสังคมไทยหลาย ๆ เรื่องกำลังดำเนินมาสู่ขั้นสุดท้ายคือ การยืนยันการตัดสินใจยอมรับ จึงเป็นหน้าที่ของสื่อสารมวลชนอีกครั้ง ประกอบกับนักวิชาการที่ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และนำเสนอกระบวนการตัดสินใจที่ประสบผลสำเร็จและการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ สังคมอื่น เพื่อให้สังคมไทยได้เลือกตัดสินใจยืนยันการยอมรับในสิ่งที่ดีที่สุดและ ประเสริฐสุดเท่านั้น
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
ที่มา http://www.thairath.co.th/edu
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความแนะนำ
โครงการสร้างบัณฑิตพันธุ์ใหม่และกำลังคนที่มีสมรรถนะเพื่อตอบโจทย์ภาคการผลิตตามนโยบายการปฏิรูปอุดมศึกษาไทย
http://www.mua.go.th/users/bhes/pdf/%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B...
-
สวัสดีค่ะ... วันนี้แอดมินขอนำเสนอความหมายของ EdPEx อีกครั้ง ....ที่ก่อนหน้านี้ได้นำเสนอ "คำถาม 15 ข้อที่คาใจ" เกี่ยวกับ EdPEx...
-
ฟอนต์อัตลักษณ์มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร ดาวน์โหลดกันได้เลยค่ะ http://www.f0nt.com/release/silpakor...
-
การสอนงาน หมายถึง การที่หัวหน้างานได้สอนหรือแนะนำให้ลูกน้อง ได้เรียนรู้งาน ที่ได้รับ มอบหมาย มีวัตถุประสงค์และข้อปฏิบัติอย่างไร จึงจะบรรล...