เมื่อ
เอ่ยถึงการบริการวิชาการแก่สังคม
ผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการของสถาบันอุดมศึกษาคงรู้จักเป็นอย่างดี
เพราะการบริการวิชาการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ระบุอยู่ภายใต้กฎกระทรวงว่าด้วย
ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา
ข้อที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์การประกันคุณภาพการศึกษาภายใน
โดยพิจารณาจากระบบและกลไกการประกันคุณภาพการศึกษาของคณะวิชาและสถานศึกษา
ระดับอุดมศึกษาโดยคำนึงถึงองค์ประกอบคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา 9 องค์
ประกอบ โดยมีการบริการวิชาการแก่สังคม เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ ดังนั้น
การบริการวิชาการแก่สังคมจึงเป็นหน้าที่จำเป็นที่สถาบันอุดมศึกษาจะต้องทำ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามกฎหมายนั้น
อย่าง
ไรก็ตามนอกจากระเบียบของกฎกระทรวงฯดังกล่าวแล้ว
การบริการวิชาการแก่สังคมของสถาบันอุดมศึกษา
ยังมีเงื่อนไขอื่นๆที่ผลักดันให้สถาบันอุดมศึกษาให้บริการวิชาการแก่
สังคมอยู่ด้วย เป็นต้นว่า ความจำเป็นเชิงวิชาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการวิจัยที่จะต้องใช้สังคมหรือชุมชนเป็นเครื่อง
มือหรือหน่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งด้านสาธารณสุขศาสตร์
วิทยาศาสตร์ประยุกต์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ
เพื่อแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการในแต่ละด้าน
บุคลากร
ในสถาบันอุดมศึกษาเองที่มีจิตสาธารณะหรือมีความสมัครใจในการเสียสละความรู้
ประสบการณ์ เวลา รวมทั้งสิ่งต่างๆที่พอเสียสละได้ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม
ก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งในการบริการวิชาการแก่สังคมด้วยเช่นกัน
นอก
จากนี้สถาบันอุดมศึกษาเองยังมีแนวนโยบายให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการทำ
กิจกรรมต่างๆกับสังคม ที่เห็นได้ชัดเจนคือกิจกรรมการออกค่ายในรูปแบบต่างๆ
เป็นต้นว่า ค่ายอาสาพัฒนา ค่าย
เยาวชน ค่ายวิชาการ ค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติ
ซึ่งกิจกรรมที่กล่าวมานี้ได้กลายเป็นเวทีให้นักศึกษาได้เรียนรู้นอกตำราหรือ
นอกห้องสี่เหลี่ยม
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย
จะ
เห็นได้ว่าภาพของการบริการวิชาการแก่สังคมของสถาบันอุดมศึกษาที่ปรากฏให้
เห็นในข้างต้นนั้นเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาที่ดีของสถาบันอุดมศึกษา
ที่มีต่อสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควร ยกย่อง แต่คำถามก็คือว่าเจตนาที่ดีดังกล่าวสถาบันอุดมศึกษาสามารถเป็นผู้กระทำการที่สอดคล้องกับเจตนาที่ดีนั้นหรือไม่? สำหรับ
ผู้เขียนขอตอบว่าไม่ทั้งหมด
เพราะเจตนาที่ดีนั้นเปรียบเสมือนอุดมการณ์ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนักที่จะสอด
คล้องกับโลกของความเป็นจริง
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าสถาบันอุดมศึกษาไม่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาความ
เดือดร้อนของสังคมที่เกิดขึ้นจริงได้เลย หรือหากมีก็น้อยมาก
ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่า
สถาบันอุดมศึกษามุ่งที่จะสร้างแผนและกิจกรรมบริการวิชาการแก่สังคม
เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์มากเกินไป ทั้งที่เป็น พ.ร.บ.การศึกษา กฎกระทรวง
รวมทั้งระเบียบของสถาบันอุดมศึกษาเอง
ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวคาดหวังผลการดำเนินงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎเกณฑ์นั้นๆ
จึงทำให้ผลการดำเนินงานถูกบีบคั้นให้ออกมาในรูปของเอกสารรายงานเชิงวิชาการ
ในมุมหนึ่งอาจจะเป็นผลดีในเชิงระบบเพื่อการตรวจสอบคุณภาพการศึกษา
แต่อีกมุมหนึ่งนั้นแรงบีบคั้นดังกล่าวอาจทำให้บุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาจะ
ต้องคิดหนักในการจัดทำเอกสารรายงาน
จนบางครั้งที่เอกสารรายงานไม่ได้เป็นผลมาจากการปฏิบัติงานจริงที่เกิดขึ้น
แต่เกิดจากการจัดทำขึ้นเองโดยไม่มีมูลความจริงหรืออย่างที่เรียกๆว่า “นั่งเทียนเขียน” และบ่อยครั้งที่ไปคัดลอกจากแหล่งอื่นๆ แล้วมาดัดแปลงเล็กน้อยเพื่อให้เป็นเอกสารรายงานของหน่อยงานตนเอง
และปัจจุบันจะพบว่าสถาบันอุดมศึกษามุ่งผลิตบัณฑิตที่อยู่ในกรอบของหลักสูตรเฉพาะด้าน เชิง
วิชาชีพมากเกินไป
จนทำให้นักศึกษาถูกจำกัดการเรียนรู้ให้อยู่ในกรอบของหลักสูตรเอง
อีกทั้งยังอยู่ในกรอบมหาวิทยาลัยหรือในห้องเรียนเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะมีหลักสูตรที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวข้องกับสังคมอยู่บ้าง
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของวิธีการเรียนการสอนอย่างบูรณาการร่วมกับชุมชน
หรือสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสมที่ให้ชุมชนเป็นฝ่ายถูกกระทำหรือเป็นผู้ถูกชี้
นิ้วให้ทำ
ที่สำคัญหลักสูตรหรือรายวิชาด้านสังคมนั้นสถาบันอุดมศึกษายังให้ความสำคัญ
ไม่มากนักและมีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลงเรื่อยๆ
เพราะไม่สามารถสร้างให้บัณฑิตมีความสามารถเฉพาะด้านในเชิงวิชาชีพสอดคล้อง
กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของประเทศได้ ทำให้ผู้เรียนมีจำนวนน้อยลง
และเมื่อเป็นเช่นนี้สถาบันอุดมศึกษาเองโดยเฉพาะภาคเอกชน
(รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐหลายแห่ง)ให้ความสำคัญทางด้านสังคมน้อยมาก
เพราะไม่สามารถเก็บเงินค่าเล่ากับนักศึกษาได้เป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบ
กับหลักสูตรเฉพาะด้านเชิงวิชาชีพ เช่น หลักสูตรบริหารธุรกิจ เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้สถาบันอุดมศึกษาจึงขาดทั้งความรู้และทักษะการทำงานด้าน
สังคม รวมทั้งขาดความจริงจังที่จะบริการวิชาการแก่สังคมอย่างจริงใจได้
ปัญหา
ประการสำคัญอีกประการหนึ่งของการบริการวิชาการแก่สังคมคือ
ปัญหาเรื่องการตีความการบริการวิชาการแก่สังคมยังคับแคบเกินไป กล่าวคือ
การตีความ “การบริการวิชาการ” โดยมองว่า "การบริการวิชาการแก่สังคม"เกี่ยวข้องกับ “หน่วยให้บริการ” และ “หน่วยรับบริการ” โดยหน่วยให้บริการนั้น คือสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย
วิทยาลัย เป็นต้น ส่วนหน่วยรับบริการนั้น คือ
ภาคสังคมหรือชุมชนต่างๆที่อยู่ภายนอกสถาบันอุดมศึกษานั้น
เมื่อตีความเช่นนี้สถาบันอุดมศึกษาได้กลายเป็นศูนย์กลางทางวิชาการ
ที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้ต่างๆแก่สังคมภายนอก
ส่วนสังคมภายนอกเองก็มีหน้าที่รับทั้งๆที่ไม่อยากจะรับ
หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครเอาอะไรมาให้ ‘ประมาณว่าครูบาอาจารย์เขามาขอความร่วมมือ หรือมีอะไรมาให้ก็รับๆไป ก็เท่านั้น’ ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อเราตีความการบริการวิชาการแก่สังคมเช่นนี้ทำให้สถาบันอุดมศึกษาอยู่ในภาวะ “ลอยตัวอยู่เหนือสังคม” หมาย
ความว่า
สถาบันอุดมศึกษามักจะมองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางแห่งความรู้ทางวิชาการที่มี
ศักยภาพสูงกว่าสังคม
แต่กลับมองข้ามว่าสังคมหรือชุมชนเองก็เป็นศักยภาพได้เช่นกันแต่อาจจะไม่ใช่
ศักยภาพชนิดเดียวกัน
สถาบันอุดมศึกษาอาจจะมีความศักยภาพในแง่ของเทคนิควิธีการและเทคโนโลยีที่ทัน
สมัย
แต่ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีการแก้ปัญหาในโลก
ความเป็นจริงของสังคมก็ได้ ดัง
นั้นทั้งในส่วนของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยของสังคมเองจะต้องสร้างกระบวนการ
เรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเติมเต็มความรู้กันและกัน
ในส่วนของสถาบันอุดมศึกษาเองควรให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดหลักสูตรการ
ศึกษา และมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอน เช่น
ให้ปราชญ์ชาวบ้านมีโอกาสได้ให้ความรู้แก่นักศึกษาในด้านต่างๆ เป็นต้น
ในส่วนของภาคสังคมเองเมื่อมีประเด็นปัญหาต่างๆเกิดขึ้น
ก็ควรกล้าที่จะไปขอคำแนะนำข้อความรู้กับสถาบันอุดมศึกษาเช่นกัน
และที่สำคัญทั้งสถาบันอุดมศึกษาและภาคสังคมควรมีการวิจัยเชิงปฏิบัติการร่วม
กันอย่างที่เรียกว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
ซึ่งเป็นกระบวนการวิจัยที่เปิดโอกาสให้ทั้งนักวิชาการและชาวบ้านมีโอกาสหัน
หน้าเข้าหากันเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆในการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นร่วมกันได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
ข. การตีความ “สังคม”
คน
เรามักจะเข้าใจด้วยสามัญสำนึกว่า
สังคมเป็นสิ่งที่ติดยึดอยู่กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เมื่อเอ่ยถึงสังคม
เรามักจะนึกถึงภาพของการตั้งอยู่ของบ้านเรือน
และผู้คนที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
ที่คิดง่ายๆที่สุดคือการมองภาพสังคมที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสถานศึกษา
เมื่อความเข้าใจของสังคมเป็นเช่นนี้ทำให้เราเข้าใจ ว่าสังคมเป็นสิ่งที่ยึดอยู่กับพื้นที่ มีความหยุดนิ่ง และมีความเป็นทั่วไป ทำให้รูปแบบการบริการวิชาการที่นำเข้าสู่ชุมชนเป็นการ “ให้ที่สำเร็จรูป”โดย
สถาบันอุดมศึกษาเพียงฝ่ายเดียว
ทั้งๆที่ชุมชนนั้นๆอาจไม่มีปัญหาหรือไม่ต้องการความช่วยเหลือก็ได้
เพื่อให้การบริการวิชาการแก่สังคมที่ถูกจุด อย่างที่เรียกว่า “เกาให้ถูกที่คัน” เราควรเพ่งสู่เปลี่ยนมาสู่การตีความชุมชนในเชิงรุกที่เรียกว่า “ชุมชนประเด็นปัญหา” กล่าว
คือ
เป็นสังคมที่ไม่ได้ยึดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หรือลักษณะทางกายภาพเป็นหลักใน
การบริการวิชาการ
แต่เป็นสังคมที่ยึดประเด็นปัญหาเป็นหลักในการบริการวิชาการ เช่น ชุมชนแออัด
ที่มีปัญหาในเรื่องของ ที่อยู่
อาศัย สิ่งแวดล้อม ยาเสพติด เป็นต้น ชุมชนผู้ด้อยโอกาส
ที่มีปัญหาการเข้าถึงโอกาสในสังคมและถูกดูแคลนจากสังคม เช่น
ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน คนพิการ ขอทาน ผู้ติดเชื้อเอดส์ เป็น
ต้น ชุมชนที่มีปัญหาความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร
ชุมชนภายหลังการเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น ชุมชนหลังเหตุการณ์สึนามิ เป็นต้น
ซึ่งสังคมเหล่านี้เป็นสังคมที่เป็นประเด็นปัญหาได้รับความเดือดร้อน
สถาบันอุดมศึกษาในฐานะที่เป็นแหล่งวิชาการนั้น
ควรให้ความสำคัญกับชุมชนดังกล่าวให้มากขึ้น
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ท้าท้ายต่อศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
อาจกล่าว
ได้ว่าการบริการวิชาการแก่สังคมของสถาบันอุดมศึกษาไม่ใช่เพียงแค่การสักแต่
ว่าทำเพราะเป็นหน้าที่
ไม่ใช่แค่เพียงทำเพื่อประโยชน์ทางวิชาการในการขอตำแหน่งทางวิชาการ
หรือทำเพราะมีใจรักเพียงเท่านั้น แต่การบริการวิชาการแก่สังคมจะต้อง
คำนึงถึงหลายอย่างทั้งในส่วนของการใช้สติปัญญาของผู้ให้บริการวิชาการขบคิด
อย่างลึกซึ้ง
การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาทีหล่อหลอมนิสิตนักศึกษาให้มีจิตสาธารณะ
ที่สำคัญการบริการวิชาการแก่สังคมนั้นจะต้องสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้
ร่วมกันระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและสังคมได้
และที่เหนือไปกว่านั้นการบริการวิชาการแก่สังคมควรจะให้ความสำคัญกับสังคม
หรือชุมชนที่เป็นประเด็นปัญหาหรือชุมชนที่มีความเดือดร้อน
มากกว่าชุมชนหรือสังคมทั่วไป
หากสถาบันอุดมศึกษาเล็งเห็นความสำคัญตามสิ่งที่กล่าวมาบ้าง
สถาบันอุดมศึกษาก็จะสามารถเป็นผู้กระทำการที่สอดคล้องกับเจตนาที่ดีของตนได้
ซึ่งมีผลให้สถาบันอุดมศึกษาสามารถดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยอย่างมีคุณค่า
มากกว่าที่เป็นอยู่..ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=387269
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น