ชีวิตทุกวันนี้มีทั้งเร่งรีบ
บีบคั้น แข่งขัน และรวดเร็ว โดยมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารที่
เสมือนจริง ล้วนแล้วแต่ทำให้คนเราฟังกันน้อยลง ผลจากการไม่รู้จักฟังกัน ฟังกันไม่เป็น
และไม่ค่อยจะมีเวลารับฟังซึ่งกันและกัน ก็เห็นได้จากปัญหาสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเอง จนมีการพูดกระแนะกระแหนกันว่า พระเจ้าสร้างเรามาให้มีหู ๒ หู ปาก
๑ ปาก ไฉนคนเราจึงมักชอบที่จะพูดมากกว่าฟัง
การไม่รู้จักฟังกัน
หรือ ไม่รับฟังอีกฝ่าย
เป็นผลในทางตรงกันข้ามกับการรู้จักฟังผู้อื่น ทั้งยังช่วยทำให้เราเข้าใจความคิด
ความรู้สึกอีกฝ่ายได้มากขึ้น ได้รู้จักกันดีขึ้น
ได้เข้าใจว่าฝ่ายนั้นมีความข้องขัดสิ่งใด ทำให้เขารู้สึกว่า
เราแคร์เขามากขึ้น จึงเรียกว่า การฟังเป็น
(Listening) มีบางตัวอย่างของการฟังเป็น
ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวจะขอนำมาเล่าที่นี้ คือ
๑) ปกติเวลาหมอตรวจคนไข้มักจะใช้เวลาอันรวดเร็ว
บ่อยครั้งที่คนไข้ยังพูดอธิบายไม่หมดความ หมอก็ด่วนสรุปให้แล้ว Dr.
Ken Davis กล่าวว่า หากหมอได้ฟังคนไข้พูดมากขึ้น
เพียง ๓ - ๔ นาที จะทำให้ตรวจรักษาคนไข้ได้ถูกต้องแม่นยำขึ้นมากถึง ๙๐%
ในขณะที่มีข้อมูลจากแพทยสภาของบ้านเราว่า มีหมอบางโรงพยาบาลทำสถิติตรวจคนไข้นอกได้รวดเร็วมากถึง
๓ - ๔ คนต่อนาที เพราะคนไข้จำนวนมากและขาดแคลนหมอ
จึงทำให้หมอต้องทำงานแข่งกับเวลา แพทยสภาจึงถือว่า มีความเสี่ยงสูงที่หมอคนนี้จะรักษาคนไข้ผิดพลาดและมีโอกาสถูกฟ้องร้อง-ร้อง
เรียนสูงมากขึ้นอีกด้วย
๒) พยาบาลวิชาชีพคนหนึ่ง
เธอมีวิธีการทำงานอย่างมืออาชีพมาเล่าให้เราฟังว่า ตัวเธอมีวิธีการแนะนำการปฏิบัติตัวของคนไข้อย่างได้ผลเมื่อคนไข้กลับไปทำที่
บ้าน ก็ด้วยวิธีการเปิดใจรับฟังปัญหาและวิธีการปฏิบัติตนของคนไข้ที่จะต้องเล่า ให้พยาบาลคนนี้ฟังก่อน
แล้วเธอจึงจะแนะนำไปว่า สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด การกระทำอันไหนของคนไข้ที่เป็นตัวชักนำทำให้เกิดการเจ็บป่วย
แล้วควรจะหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นอย่างไรบ้าง ผลจากการเปลี่ยนวิธีการสอนหรือแนะนำคนไข้มาเป็นการรับฟังปัญหาเฉพาะตัวของคน
ไข้ก่อนเช่นนี้ ทำให้คนไข้การรักษาคนไข้ได้ผลมากขึ้น โดยหายจากการเจ็บป่วยมากขึ้น
และเธอยังเป็นที่ชื่นชอบของคนไข้อีกด้วย เนื่องจากพูดได้ตรงใจคนไข้นั่นเอง
นี่ก็เป็นผลจากการรับฟังกันอย่างเข้าใจและลึกซึ้งยิ่งนัก ซึ่งแตกต่างจากวิธีการแนะนำคนไข้แบบเดิมที่ไม่ต่างจากการมายืนสอนเหมือนครู ยืนสอนหน้าชั้นเรียน ย่อมได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน
๓) นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเล่าว่า
เขาได้เรียนรู้การรักษาการเจ็บป่วยจากคนไข้แบบแปลกใหม่จากที่ครูเคยสอนไว้ใน โรงเรียนแพทย์
เพียงเพราะวันนั้นเขาทนนั่งรับฟังปัญหาแวดล้อมทั้งเรื่องราวจากตัวคนไข้เอง และเรื่องราวต่างๆ
จากคนในครอบครัวของคนไข้มากขึ้น แม้จะรู้ว่าเสียเวลามากทีเดียวที่ต้องทำอย่างนั้น
ถ้าเพียงแต่เขาฝึกการฟังนั้นจนเกิดความชำนาญ เขาก็จะสามารถซักถามและจับประเด็นใจความสำคัญๆ
ที่เป็นสาระได้อย่างรวดเร็ว อันจะนำไปสู่การดูแลรักษาผู้ป่วยได้ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
๔) โรงพยาบาลหลายแห่งได้มีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
หรือ ชมรมต่างๆ เพื่่อให้คนไข้โรคต่างๆ มารวมกลุ่มกัน เช่น กลุ่มโรคหัวใจ
กลุ่มโรคเบาหวาน ฯลฯ คนไข้ได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนสนทนากัน
คนที่เคยเจ็บป่วยมาก่อน หรือมีวิธีการดูแลรักษาตนเองจนเข้มแข็งได้มาช่วยมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง
การเรียนรู้ผ่านผู้ป่วยด้วยกันเองมักเป็นการพูดคุยสนทนากัน รับฟังปัญหาขัดข้องโดยไม่ปิดบัง
เคอะเขิน จากคนที่มีปัญหาเดียวกัน ด้วยคนระดับเดียวกัน เป็นการเลียนแบบกันอย่างได้ผลในการรักษาอีกช่องทางหนึ่ง
มากกว่าที่จะมุ่งรักษาด้วยวิธีการทางยาจากหมอเพียงอย่างเดียว
เหล่านี้เป็นตัวอย่างและผลลัพธ์จากการรับ
ฟังกันมากขึ้น มากกว่าการที่เราเดินทางมาเจอหน้ากัน แต่เราไม่ต้องการพูดคุยกันและรับฟัง
แล้วก็จมอยู่กับ “หน้าจอ” ของใครของมัน ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์แต่อย่างใด สู้กลับบ้านไปแล้วคุยกัน “ผ่านจอ” อย่างเดิมน่าจะดีกว่าไหม
การฟังกันมากขึ้นจึงเป็นการแก้ปัญหาสังคมง่ายๆ
เหมือนกับ “เกาถูกที่คัน”
แก่คนที่อยู่ข้างๆ เรา
เป็นเสมือนการจ่ายยาที่ถูกกับโรค
หรือ
เป็นเสมือนหมอที่รู้จักรักษาวิธีการฟังของหมอก่อน
ก่อนที่หมอจะไปรักษาคนไข้นั่นเอง
การฟัง หรือ การรับฟัง (Listening) ผู้อื่น เป็นกลวิธีการที่สำคัญมากที่เราใช้สื่อสารกับคนรอบข้าง เพราะก่อนที่เราจะสื่อสารออกไป
เราควรได้รู้ข้อมูลจากผู้ฟังหรือคู่สนทนาของเราเสียก่อน และผู้ใดรู้จักฟังอย่างถูกวิธีย่อมทำให้การสื่อสาร
(พูดคุย) นั้นมีประสิทธิภาพ
นอกจากการรู้จักฟังผู้อื่นจากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
มีตัวอย่างของ เทคนิคการฟังขั้นสูง ซึ่งได้แก่ การตั้งใจผู้อื่นเหมือนกับที่เรากำลังตั้งใจฟังญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพกำลัง
พูด รู้จักการจับประเด็น รู้จักซักถาม รู้หรือวิเคราะห์ว่าผู้ฟังชอบไม่ชอบอะไร รู้จังหวะแทรกการพูดคุย มีการสบสายตาเวลาพูดคุย
ถ้าหากคู่สนทนาพูดออกนอกลู่นอกทางก็ดึงเขากลับมาเป็น มีวิธีการถามด้วยคำถามปลายเปิดเพื่อให้เขาสามารถพูดแสดงความคิดเห็นต่อไป
ได้อีกเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเทคนิคการสะท้อนความคิด (Reflection) ในระหว่างการสนทนา ต้องไม่เบรกคู่สนทนานั้นด้วยคำพูดแรงๆ หากไม่ใช่เพื่อนสนิท
และรู้จักการยกย่องคู่สนทนาอย่างพอเหมาะพอควร อันเป็นวิธีการให้เกียรติกัน
นอกจากนี้
การฟังขั้นสูงยังจะเป็นการผูกมิตรที่ยั่งยืนได้อีกด้วย หากเป็นหมอก็จะเป็นหมอที่ครองใจคนไข้ สามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ตั้งแต่คำพูดแรกๆ
ที่คนไข้เอ่ยปากอยากเล่าอาการเจ็บป่วยนั้นให้หมอฟัง
หากแม้....ไม่ใช่หมอ
เราก็ทำตัวเป็นเหมือนหมอได้ เพียงเพราะรู้จักรักษาน้ำใจคู่สนทนา ด้วยการเป็นผู้ฟังที่ดี และ
รู้จักฟังกันมากขึ้น
|
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/nn1234/2013/04/02/entry-1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น