วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ภูมิปัญญาต่อยอด:สอน 'แจ่มชัด' แต่ปฏิบัติ 'พร่ามัว'


ภูมิปัญญาเป็นการรวมกันของ ความรู้หรือวิทยาการกับปัญญาทำให้เกิด ภูมิปัญญาในการนำผลของภูมิปัญญาไปใช้ เริ่มจากการศึกษาเหตุและปัจจัยต่างๆ เพื่อค้นหานวัตกรรมสำหรับการนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ต่อไป ถือว่าเป็นการต่อยอดของความรู้หรือวิทยาการด้วยปัญญา ในการจัดการศึกษานั้นการสอนให้มีความรู้และวิทยาการมีความแจ่มชัด โปร่งใส (Transparency) และวัดผลได้ แต่เมื่อผู้เรียนนำความรู้ หรือวิทยาการไปใช้กลับพบว่า ความรู้หรือวิทยาการที่นำไปใช้ต่อยอด หรือประยุกต์กับสภาพการณ์จริงกลับ พร่ามัว หรือไม่แจ่มชัด (Ambiguity)

สอนแจ่มชัดแต่ปฏิบัติพร่ามัว (Teach Transparency but Practice Ambiguity)

การ ถ่ายโยงความรู้สู่การปฏิบัติเป็นประเด็นสำคัญของการสร้างภูมิปัญญาต่อยอด องค์ความรู้ที่ได้จากอาจารย์ผู้ทำวิจัยในมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ ถ่ายทอดสู่ผู้เรียนมากนัก การวิจัยของอาจารย์ส่วนมากเป็นการทำงานวิจัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ ให้ทุนวิจัย องค์ความรู้ที่ได้จากการทำวิจัยอาจไม่เกี่ยวข้องกับรายวิชาที่อาจารย์ผู้ทำ วิจัยรับผิดชอบหรือมีภาระงานสอน ดังนั้น ความรู้ที่ค้นพบจากการวิจัยจึงไม่ได้ถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้เรียน เนื่องจากรายวิชาที่ทำการสอนมีการกำหนดเนื้อหา ขอบเขต เวลา กระบวนการสอน การวัดและประเมินผล ตามหลักสูตรไว้อย่างครบถ้วน จึงมีความ แจ่มชัดในกระบวนการสอนของรายวิชาต่างๆ อยู่แล้ว

การส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษา ที่มีหน้าที่หลักเพื่อผลิตบัณฑิตให้มีภารกิจของการวิจัยควบคู่ไปด้วยเป็น ความมุ่งหวังทางอุดมคติ เป็นความคิดต้องการพัฒนาการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ โดยพยายามทำให้มหาวิทยาลัย หรือสถาบันอุดมศึกษาเป็นแหล่งสร้างองค์ความรู้ควบคู่กับการสร้างคน โดยมีอาจารย์เป็นผู้ทำวิจัยสร้างองค์ความรู้ เพื่อนำมาใช้สำหรับการสอนและถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ผู้เรียน เกิดการสร้างนวัตกรรม ต่อยอดภูมิปัญญา แต่กระบวนการและเจตนาของการดำเนินการในแนวคิดนี้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างพร่ามัวไม่แน่ชัดว่าต้องการบรรลุเป้าประสงค์อะไร หรืออย่างไร เป็นสำคัญ ซึ่งคำตอบนี้ไม่ควรนำตัวชี้วัดในกระบวนการประกันคุณภาพมาเป็นคำตอบเท่านั้น

สถาบัน อุดมศึกษาบางแห่งมีหน่วยงาน หรือ สถาบันวิจัยที่มีนักวิจัยโดยเฉพาะที่ไม่ต้องทำหน้าที่สอน ไม่มีฐานะเป็นอาจารย์โดยมีหน้าที่สำหรับการทำวิจัย หรือสนับสนุนการทำงานวิจัยโดยเฉพาะ การวิจัยกับการสอนจึงเป็นภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง การพยายามทำให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันวิจัยอาจ ทำให้ลำดับความสำคัญของภารกิจในสถาบันอุดมศึกษาเปลี่ยนไป กลายเป็นสถาบันวิจัย เพื่อสร้างผลงานวิจัยมากกว่าการสร้างคน

ผู้กำหนดนโยบาย (Policy Makers)

การ ส่งเสริมสถาบันอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University) ด้วยกลวิธีต่างๆ ทำให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งดูเหมือนเป็นการสร้างระดับชั้นของมหาวิทยาลัยในแนวตั้ง มากกว่าการแบ่งประเภทตามพันธกิจและเจตนาของการก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาแต่ละ แห่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวนอน

การก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง แต่ละยุคสมัยมีเหตุผลและความจำเป็นตลอดจนเป้าหมายของการพัฒนาโดยเฉพาะ ซึ่งอาจดูเหมือนจะมีความแตกต่างกันแม้เพียงเล็กน้อย เพราะมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนากำลังคนเช่นเดียวกัน แต่ก็นับเป็นสาระสำคัญ เพราะแต่ละแห่งจะมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่แตกต่างกัน หรือที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้กำหนดนโยบายและแผนว่า The Same Goals but Different Objectives

การกำเนิดขึ้นของสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง จึงมีวัตถุประสงค์เฉพาะ (Objectives) กำกับไว้ด้วย พันธกิจหลัก 4 ประการของสถาบันอุดมศึกษา ได้แก่ ผลิตบัณฑิต วิจัย บริการทางวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม สถาบันอุดมศึกษาบางแห่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการผลิตบัณฑิต หรือการการสอนเป็นสำคัญในขณะที่บางแห่งอาจต้องมีการวิจัย การบริการวิชาการแก่สังคม และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ในลำดับที่แตกต่างกันไป

ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของภารกิจของสถาบันอุดมศึกษาและการให้ความสมดุลระหว่าง การสนับสนุนการสอนและการทำวิจัย รวมทั้งพันธกิจอื่นๆ จึงอาจต้องมีการทบทวนนโยบายทั้งในระดับ มหภาคหรือระดับชาติ และระดับจุลภาคหรือในสถาบันอุดมศึกษาเองด้วย

ผู้ปฏิบัติ (Practitioners)

อาจารย์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสถาบันอุดมศึกษา ถ้าไม่มีอาจารย์ ไม่มีการเรียนการสอน ไม่มีผู้เรียนไม่อาจเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่บริบูรณ์ได้ การมีอาจารย์ผู้สร้างองค์ความรู้และสอนองค์ความรู้ ส่วนมากเน้นการสอนความรู้ หรือวิชาในศาสตร์ที่มีความรู้ หรือเรียนจบมาด้วยคุณวุฒิสูงๆ อาจารย์เหล่านั้น อาจมีความสามารถในการรู้เท่า รู้ทัน รู้นำ สร้าง ภูมิปัญญาให้ผู้เรียน แต่การปฏิบัติการสอนส่วนมากมีขอบเขต แจ่มชัด และโปร่งใส จนไม่อาจเป็นครู หรืออาจารย์ในอุดมคติที่สั่งสอนศิษย์ โดยไม่ใช่สอนวิชาอย่างเดียว แต่สอนให้มีปัญญาเกี่ยวกับการทำงาน และการใช้ชีวิตว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ที่เรียกว่า จิตปัญญา

การมีอาจารย์ที่มีความสามารถใน การสอนให้เกิด ภูมิปัญญาและมีครูที่สามารถสั่งสอนศิษย์ให้เกิดจิตปัญญาได้เป็นอุดมโชค หรือมหาโชคสำหรับสถาบันการศึกษาแห่งนั้น การสร้างอุดมโชค หรือมหาโชคให้กับสถาบันอุดมศึกษาต้องผ่านกระบวนการของนวัตกรรมการสอนที่มีคุณภาพยิ่งถ้าสร้างผู้ปฏิบัติที่สามารถเป็นอาจารย์ผู้สร้างภูมิปัญญาและครูผู้ สร้างจิตปัญญารวมอยู่ในตัวตนคนเดียวได้ถือเป็นสิ่งที่วิเศษสุดประเสริฐสุด สำหรับการพัฒนาการศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาคน พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศชาติในที่สุด.
โดย : รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/330198

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น