วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มหาวิทยาลัยไทย อย่าให้เละยิ่งกว่านี้เลย

     ผมเขียนเรื่อง “มหาวิทยาลัยไทย ยิ่งออกนอกระบบยิ่งล้มเหลว” ไปเมื่อวันศุกร์ ก็มีข่าวว่า คุณกฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยศึกษาฯ เรียก ผู้บริหารคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ไปหารือ เพราะมหาวิทยาลัยไทยวันนี้เละจนน่าตกใจ

    เมื่อออกนอกระบบ มหาวิทยาลัยสามารถหารายได้เองจนร่ำรวยกันทุกมหาวิทยาลัย แถม “ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้” มีการขึ้นค่าเล่าเรียน จัดหลักสูตรพิเศษค่าเรียนแพงๆไปจนถึงการสร้างศูนย์การค้า แทนที่ จะสร้างห้องเรียนเพิ่มในคณะวิชาที่ประเทศขาดแคลน สร้างห้องวิจัยที่มหาวิทยาลัยขาดแคลน เพื่อสนับสนุนพัฒนาการประเทศในระยะยาว ฯลฯ
    
    ในการหารือ รัฐมนตรีกฤษณพงศ์ ให้โจทย์ไป 4 ข้อ 1.จะพัฒนาอุดมศึกษาไปสู่เป้าหมายของประเทศ และเป้าหมายของแต่ละมหาวิทยาลัย ได้อย่างไร 2.บทบาทของ กกอ.ที่ต้องช่วยดูคุณภาพการศึกษา ขณะนี้ มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาจำนวนมาก เปิดหลักสูตรเฟ้อ กระทบต่อคุณภาพการศึกษา ทำให้นักศึกษา ผู้ปกครอง สถานประกอบการ เสียเงิน เสียเวลา 3.เรื่องการผลิตและพัฒนาครูต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ 4.การคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา
ก็เป็นนโยบายทั่วไป แต่ที่น่าตกใจก็คือ

     ท่านรัฐมนตรีช่วยศึกษาฯ ระบุว่า จากข้อมูลในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ผู้จบปริญญาตรี 3 คน มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่ได้งานทำในปีแรก อีก 2 คนตกงาน แต่ละปีจะมีบัณฑิตที่ไม่สามารถหางานทำได้หลังสำเร็จการศึกษาถึง 150,000 คน และมีอีกจำนวนมากที่ทำงานต่ำกว่าวุฒิ เพราะเปิดสาขาวิชามากเกินไป ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และปัญหาคุณภาพหลักสูตร
เห็นความเละของมหาวิทยาลัยไทยหรือยัง ถ้า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการที่จะพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืนอย่างที่ตั้งใจ จะต้องเร่ง “ผ่าตัดใหญ่กระทรวงศึกษาและระบบการศึกษาเป็นการด่วน” ไม่งั้นก้าวไปข้างหน้าไม่ได้แน่นอน
รัฐมนตรีช่วยศึกษาฯ แฉอีกว่า มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเก็บค่าเล่าเรียนแพงลิ่ว ปริญญาตรีค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร 3–4 แสนบาทเป็นอย่างต่ำ แต่เรียนจบแล้วกลับหางานทำไม่ได้ถึงปีละ 150,000 คน ถือเป็นความสูญเสียของผู้เรียน ผู้ปกครอง และภาครัฐ
ไม่เพียงมหาวิทยาลัยนอกระบบที่หากินกับการศึกษาจนร่ำรวย มหาวิทยาลัยเอกชน ก็หากินกับการศึกษาจนร่ำรวยมหาศาล เพราะ มหาวิทยาลัยไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ละแห่งจึงรับนักศึกษาปี 1 จนล้นแล้วล้นอีก เพื่อโกยกำไรจากค่าเล่าเรียน แล้วค่อยไปเข้มตอนปี 3 ปี 4 เพื่อให้จบหลักสูตรน้อยกว่าที่รับปี 1
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านี้ เมื่อเร็วๆนี้ คุณจิรศักดิ์ จิยะจันทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เวิลด์คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จะนำ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น ทั้ง 3 แห่งที่กาญจนบุรี บุรีรัมย์ ปทุมธานี เข้าไปจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการทำ “แบ็กดอร์ลิสติ้ง” ซื้อ บริษัท พันธุ์สุกรไทย–เดนมาร์ค ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ

    เมื่อ ระบบการศึกษาของชาติ เข้าสู่ “ระบบทุนนิยม” ที่ “ยึดกำไรสูงสุด” เป็นหลัก อนาคตการศึกษาของไทยก็คงหนีไม่พ้น “หลักสูตรเจ้าสัว” ที่ทำกันเกร่อตั้งแต่ปริญญาตรียันปริญญาเอก โดยเจ้าสัวไม่ต้องลำบากไปเรียนให้มากนัก
    นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งไปพูดเรื่อง “การพัฒนาคนเพื่ออนาคตประเทศไทย” ในงานสัมมนา แต่ท่านไม่ได้พูดถึง โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย ที่เป็นแหล่งพัฒนาคนที่สำคัญที่สุด ถ้ารัฐบาลขืนปล่อยให้มหาวิทยาลัย เป็นโจ๊กกันอย่างนี้ สร้างศูนย์การค้า เข้าตลาดหลักทรัพย์ แทนที่จะเน้นเรื่องการศึกษาวิจัย อนาคตคนไทยคงหาคุณภาพไม่ได้แน่นอน
นี่คือ ปัญหาใหญ่ ที่ นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องแก้ทันที เพื่อพัฒนาคน ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติและปฏิรูปประเทศไทย.
“ลม เปลี่ยนทิศ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น