มหาวิทยาลัยที่เป็นที่เชื่อถือกันว่าคุณภาพ สูงต้องไม่ยอมติดบ่วง bureaucracy trap ต้องยืนหยัดต่อกลไก self-accrediting และ autonomy คือดำรงความมีอิสระ โดยรับผิดชอบตนเองด้านคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของสังคม นี่คืออุดมการณ์ของการกำกับดูแลอุดมศึกษาในระดับสถาบัน
ในการปฏิรูปอุดมศึกษาของออสเตรเลียครั้งนี้ ระบบกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาก็เปลี่ยนไปด้วย หรือโดนกระทบ โดยผมตีความว่า TEQSA ที่รัฐบาลกลางออกกฎหมายจัดตั้ง เป็นเพียงกลไกหนึ่งในอีกหลากหลายกลไกกำกับดูแลระบบอุดมศึกษา ผมเดาว่าหน้าที่หนักและหน้าที่หลักของ TEQSA น่าจะได้แก่สถาบันอุดมศึกษาส่วนที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้มีกว่า ๑๕๐ สถาบัน และมีการจัดตั้งเพิ่มขึ้นตลอดเวลา สถาบันเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นองค์กรเอกชนแสวงหากำไร และมีความเสี่ยงสูงที่จะจัดการศึกษาที่ไม่ได้มาตรฐาน
ในการประชุม 7th Annual University Governance and Regulations Forum มีคนมาพูดว่า TEQSA เน้นดำเนินการเข้มงวดต่อสถาบันที่มีความเสี่ยงสูงต่อการจัดการศึกษาที่ด้อยคุณภาพ ส่วนสถาบันที่ดีอยู่แล้ว การกำกับจะเป็นเพียง “light touch”
ผมฟังการประชุม ๒ วัน แล้วบอกตัวเองว่า หากผมเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพสูงในออสเตรเลีย ผมจะต่อสู้สุดฤทธิ์ไม่ให้ TEQSA เข้ามาตรวจสอบแบบหยุมหยิม ที่ทางออสเตรเลียเขากล่าวว่าเป็นพิษร้ายของ bureaucracy
ผมคิดว่า มหาวิทยาลัยที่เป็นที่เชื่อถือกันว่าคุณภาพสูงต้องไม่ยอมติดบ่วง bureaucracy trap ต้องยืนหยัดต่อกลไก self-accrediting และ autonomy คือดำรงความมีอิสระ โดยรับผิดชอบตนเองด้านคุณภาพ เพื่อประโยชน์ของสังคม นี่คืออุดมการณ์ของการกำกับดูแลอุดมศึกษาในระดับสถาบัน
ระบบกำกับดูแลอุดมศึกษา มีส่วนที่มาจากภายนอกประเทศด้วย ในรูปของการจัดอันดับหรือจัดระดับมหาวิทยาลัยโลก เป็นระบบกำกับแบบทางอ้อม ซึ่งก็มีผลต่อพฤติกรรมหลายอย่างของสถาบันอุดมศึกษาส่วนที่เป็นมหาวิทยาลัย ที่ต้องการได้รับการยอมรับในฐานะ world class university
ภายในประเทศ ระบบอุดมศึกษายังอยู่ใต้กลไกกำกับดูแลเชิงวิชาชีพด้วย เช่นแพทยสภา สภาวิศวกร เป็นต้น มีประเด็นว่า ระบบหลักสูตรเพื่อปริญญา กับระบบการรับรองวิชาชีพ ควรเชื่อมโยงกันหรือควรแยกกัน อย่างของไทย สกอ. ระบุว่า จะรับรองหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ต่อเมื่อสภาการพยาบาลได้ให้การรับรองว่าผู้จบหลักสูตรนั้นจะได้รับในประกอบวิชาชีพพยาบาลแล้วเท่านั้น มีบางคนให้ความเห็นว่า คนไทยน่าจะมีสิทธิเข้าเรียนพยาบาล โดยไม่มุ่งไปใช้ชีวิตเป็นพยาบาล ซึ่งก็เถียงกลับได้อีกว่า คนที่ตั้งใจเรียนโดยไม่ประกอบวิชาชีพ เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดของประเทศโดยไม่ก่อประโยชน์ต่อสังคม เรื่องแบบนี้อาจจะขึ้นกับวิชาชีพอื่นด้วย หากเอาไปถกเถียงกันในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต กับการรับรอง กว. ของสภาวิศวกร การพิจารณารับรองแยกกันอาจฟังดูสมเหตุสมผลกว่า เพราะเวลานี้ก็มีหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตหลายหลักสูตรที่ไม่ได้ขอให้ กว. รับรอง และผู้จบหลักสูตรก็ไม่เดือดร้อน
ผมได้พูดในหลายวาระ ว่าในประเทศไทย หน่วยงานที่มีอิทธิพลที่สุดต่อมหาวิทยาลัยของรัฐ คือสำนักงบประมาณ สังคมไทยยังเป็นสังคมอุปถัมภ์และเน้นพวกพ้อง ยังไม่ใช่สังคมเหตุผล เป็นที่รู้กันว่าการได้รับเงินงบประมาณสนับสนุนมากขึ้นหรือน้อยลง ไม่ขึ้นกับคุณภาพและผลงาน หรือการทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองมากนัก แต่ขึ้นกับความสามารถในการวิ่งเต้นมากกว่า
มหาวิทยาลัยทำอะไรบ้าง ก็ย่อมโดนกำกับโดยวงการนั้นๆ ด้วย เช่นมีหน้าที่หลักด้านการวิจัย หน่วยงานให้ทุนวิจัยย่อมมีอิทธิพลกำกับดูแลมหาวิทยาลัยด้วย
และไม่ว่ามหาวิทยาลัยใดของไทย ย่อมต้องรับผิดชอบต่อสังคมภาคส่วนนั้นๆ และในวงกว้าง จึงมีกลไกกำกับโดยสังคม ในรูปของ reputation risk
เนื่องจากมีแนวโน้มโลก ว่ามหาวิทยาลัยเอกชนแสวงหากำไร จะขยายตัวเฟื่องฟูขึ้น มหาวิทยาลัยแบบนี้ใช้วิธีการแบบที่มองบริการอุดมศึกษาเป็นสินค้า มองความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับนักศึกษาเป็นผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ ดังนั้น ประเทศไทยต้องพัฒนาระบบกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษากลุ่มนี้ ด้วยระบบคุ้มครองผู้บริโภค ประเทศไทยต้องการระบบคุ้มครองผู้บริโภคด้านอุดมศึกษา ที่เน้นทำงานคุ้มครองผู้บริโภคจากสถาบันธุรกิจเอกชนค้ากำไรเป็นหลัก และสถาบันที่ไม่ค้ากำไร แต่แสดงพฤติกรรมค้ากำไร ก็ต้องโดนจับตาด้วย
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ก.ย. ๕๕
ที่มา : http://www.gotoknow.org/blogs/posts/508317
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น