ผมเพิ่งรู้จัก Kaplanว่าเป็นบริษัทให้บริการทางการศึกษาที่หลากหลายมาก และดำเนินการในทั่วโลก และจริงๆ แล้วเขาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท วอชิงตัน โพสต์ ที่มีหนังสือพิมพ์ นิวสวีก เป็นส่วนหนึ่ง ที่เวลานี้รายได้จากธุรกิจการศึกษาเท่ากับ ๒.๖๔ พันล้านเหรียญ มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้บริษัททั้งหมด ที่ประกอบด้วยธุรกิจหลัก ๔ ด้าน คือหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ทีวี เคเบิ้ล และการศึกษา
ความสามารถของ Kaplan ก็คือ ต้องฝ่าด่านการตรวจสอบทางคุณภาพนานากลไกให้ได้ในประเทศที่ตนเข้าไปประกอบธุรกิจ โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศนั้นๆ โดยผมฟังแล้วสรุปกับตนเองว่า Kaplan เก่งด้านระบบประกันคุณภาพ ที่สามารถจัดการให้ผ่านด่านตรวจ (accreditation) ของประเทศที่ตนเข้าไปดำเนินกิจการ และเก่งในการหาพันธมิตรดำเนินการในพื้นที่หรือประเทศนั้นๆ
ผมได้เข้าใจกระแสของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแสวงหากำไร ว่าเป็นกระแสธุรกิจข้ามชาติ ที่กลไกกำกับดูแลอุดมศึกษาของแต่ละประเทศจะต้องรู้จัก และมีวิธีกำกับดูแลคุณภาพอย่างได้ผล โดยน่าจะเน้นมุมมองเชิงบวก ว่าหากเราเข้าใจและรู้จักใช้พลังเชิงบวกของสถาบันเหล่านี้ เราก็จะสร้างความเป็นนานาชาติ หรือโลกาภิวัตน์ของคนไทยได้ดีขึ้นโดยใช้กลไกของธุรกิจอุดมศึกษาข้ามชาติเหล่านี้ ซึ่งมองอีกมุมหนึ่ง เป็นการเล่นกับไฟ
ทำให้ผมเข้าใจมหาวิทยาลัย เนชั่น ว่าน่าจะสอดคล้องกับการที่บริษัท วอชิงตัน โพสต์ หันมาทำธุรกิจบริษัท Kaplan
เป็น corporate university ในรูปแบบหนึ่ง
จากคำบรรยายของ Prof. Jim Jackson ผมรับรู้ด้วยความตกใจว่า ในสิงคโปร์มีสถาบันการศึกษาเอกชนถึง ๑ พันแห่ง มีนักศึกษา ๑ แสนคน และในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมาก็เจ๊งกันไปมาก เพราะการแข่งขันสูง และทางรัฐบาลสิงคโปร์ก็ตรวจสอบเข้มงวด
ผมได้เข้าใจว่า ประเทศต้องมีระบบกำกับดูแล ให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้บริการการศึกษาที่มีคุณภาพจริงๆ โดยมีกลไกกำกับตรวจสอบคุณภาพของบัณฑิตที่แม่นยำ นี่คือข้อท้าทายต่อประเทศไทย ที่หลายกรณีผู้มีอิทธิพลเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยเอกชนแสวงหากำไร และใช้กโลบายหลากหลายด้าน จัดการศึกษาที่ด้อยคุณภาพ โดยผู้เข้าเรียนไม่ได้ต้องการความรู้ แต่ต้องการปริญญา เพื่อสถานะทางสังคม
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ก.ย. ๕๕
ที่มา : http://www.gotoknow.org/blogs/posts/505897
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น